LFPTH : ลาลีก้า สเปน ลีกอันดับหนึ่งของวงการลูกหนัง

ตอนนี้ทางบล็อคได้ทำการ เปลี่ยนระบบ comment จากของ blogger เป็นระบบ disqus.... อ่านรายละอียดเพิ่มเติม (คลิ๊ก)

วันเสาร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

อีกมุมนึงของ โรนัลโด้...ที่คุณอาจไม่เคยเห็น

บทความนี้ถูกแปลมาจากบทความซึ่งถูกเขียนโดย แดน กาสป้า โค้ชผู้รักษาประตูของทีมชาติ โปรตุเกส...ผมจะแปลมาตรงๆเลยละกัน...คิดซะว่าผมคือ แดน กาสป้า ละกัน....


ผมชื่อ แดน กาสป้า วันนี้ผมอยากจะมาแบ่งปันเรื่องราวเกี่ยวกับชายที่มีนามว่า คริสเตียโน่ โรนัลโด้ หน่อย....มันเป็นเรื่องราวที่ผมมั่นใจว่าคุณไม่เคยมองถึง แต่เป็นเรื่องที่สมควรถูกบอกต่อ....ผมเชื่อในพรมลิขิตครับ และ นี่เป็นตัวอย่างของสิ่งๆนั้น ข้างหลังมาด ซุปเปอร์สตาร์ เขาเป็นคนที่เอาใจใส่ผู้อื่นอย่างแท้จริง...

ผมโชคดีครับที่ คาร์ลอส กีรอซ โค้ชทีมชาติ โปรตุเกส ได้ติดต่อชวนผมมาเป็นสตาฟฟ์ในรอบคัดเลือกฟุตบอลโลกปี 2010...ก่อนหน้านี้ผมเคยทำงานกับเขามาแล้ว และ ผมก็รู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้มาเป็นส่วนนึงในทีม โปรตุเกส ในการเตรียมพร้อมครั้งนี้

หลังจากนั้นไม่นาน ผมก็ได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนที่ดีคนนึงของผม เขามีชื่อว่า จอร์น โมเรียร่า...จอร์น เคยทำงานที่ สตาร์ โกลล์คีปเปอร์ อะคาเดมี่ ซึ่งเป็นค่ายที่ผมเป็นเจ้าของ เขาและครอบครัวเป็นมิตรที่ดีกับผมมานานหลายปี....ลูกชายของเขาชื่อว่า แบรนดอน เป็นนักฟุตบอลฝีเท้าคุณภาพ กำลังมีปัญหาบาดเจ็บกับเข่าของเขา....คุณหมอตอนแรกคิดว่ามันเป็นอาการบาดเจ็บจากการเล่นฟุตบอลธรรมดา....แต่สุดท้ายก็ตรวจเจอออกมาว่า แบรนดอน ป่วยเป็นมะเร็งกระดูก....

ครอบครัว โมเรียร่า ต้องเผชิญกับการตัดสินใจครั้งใหญ่....ว่าจะตัดสินใจ ตัดขา แบรนดอน ออก หรือจะรักษาโดย การบำบัด คีโม โดยหวังว่าจะสามารถจำกัดเซลล์มะเร็งได้ทั้งหมด....แบรนดอน เป็นเด็กที่อยู่ด้วย ฟุตบอล รักฟุตบอล หายใจเข้าหายใจออก ฟุตบอล....ความคิดที่จะตัดขาออกมันคงเป็นเรื่องที่ทำใจรับได้ยากสำหรับเด็กวัยรุ่นคนนึง....เขาคงไม่สามารถจินตนาการชีวิตตัวเองในสภาพไร้ขาได้...ครอบครัวเขาจึงเลือกที่จะบำบัด คีโม แทน...

ระหว่างช่วงการทดลองกายภาพบำบัด จอร์น ก็ได้ติดต่อกับผม แล้วก็เล่าเรื่องให้ฟังเกี่ยวกับอาการของ แบรนดอน เป็นพักๆ....แต่สถานการณ์ที่ผมได้ยินมันกลับทำให้ผมเศร้าหนักกว่าเก่า...เพราะนอกจาก คีโม จะไม่สามารถลดขนาดของเนื้อร้ายได้แล้ว มันยังไปลุกลามส่วนต่างๆของร่างกาย....ผมกับเขามีสายสัมพันธ์พี่พิเศษกว่าธรรมดา ผมรู้สึกว่าผมควรต้องไปอยู่ตรงนั้นเพื่อช่วยครอบครัวของเขาเท่าที่ทำได้ ผมจึงบินไปยังโตรอนโต้

แบรนดอน เป็นเด็กหนุ่มที่ไม่เหมือนคนอื่นจริงๆ แทนที่ผมจะเป็นฝ่ายที่แสดงให้เขาเห็นถึงแรงกำลังใจ และ ความกล้าหาญ กลับเป็นฝ่าย แบรนดอน ที่ให้อะไรที่มากกว่าสิ่งที่ผมสามารถตอบแทนเขาได้....เขาไม่ตื่นเต้น กล้าหาญ และ มีจิตใจของนักสู้ลอยอยู่เต็มไปหมดในบ้านที่นิ่งสงบของเขา เขาเป็นตัวอย่างให้ผมเห็นจริงๆ ถึงแม้ว่าเขาจะสูญเสียน้ำหนัก ถูกพันไปด้วยเครื่องช่วยหายใจ แต่เขาก็สามารถพูดได้ในสิ่งที่ไม่น่าเชื่อ....เขาขอให้ทุกคนอย่าไปโกรธเคืองพระเจ้า และ เขาบอกว่า พระเจ้าถูกเสมอ...ในวัยเพียง 16 ปี...นั่นถือว่าเป็นของขวัญจากพระเจ้าให้พวกเราทุกคนอย่างแท้จริง...

พ่อของเขา จอร์น บอกว่า แบรนดอน มีความฝันหลายๆอย่าง หนึ่งในนั้นคือการไปที่สนาม โอลด์ แทรฟฟอร์ด เพื่อไปดู คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ซ้อม (ตอนนั้นยังอยู่แมนยู)....เมื่อดูจากสภาพแวดล้อมแล้ว ความฝันนั้นคงจะไม่เป็นจริง....แบรนดอนก็เหมือนเด็กๆคนอื่นๆทั่วโลกที่มี โรนัลโด้ เป็นต้นแบบ เขาคิดว่า โรนัลโด้ เป็นผู้เล่นที่ดีที่สุดในจักรวาล รูปของปีกชาวโปรตุกีส ถูกแปะคลุมทั้งผนังห้องนอนของเขา


จอร์น ถามผมว่าหากผมสามารถติดต่อ โรนัลโด้ แล้วขอให้เขาโทรมาหาลูกที่กำลังจะตายของเขาได้ไหม ผมตอบกลับไปว่า ครั้งเดียวที่ผมเคยเจอเขา ต้องย้อนไปเมื่อเขาเล่นกับทีมชาติชุดอายุต่ำกว่า 23 ปีโน่น....ความน่าจะเป็นที่ โรนัลโด้ จะจำผมได้คงห่างไกลเต็มที แต่ผมสัญญาว่าผมจะทำให้ดีที่สุด ผมพยายามทุกวิถีทางเพื่อช่วยให้ แบรนดอน ได้สมหวัง...เขาเป็นคนที่เหลือเชื่อ นี่คงเป็นสิ่งที่น้อยที่สุดที่ผมควรจะต้องทำ เพื่อเพื่อน และ ลูกของเขา

ผมโทรไปหาหัวหน้าโค้ชของทีมชาติ โปรตุเกส คาร์ลอส กีรอซ และอธิบายเรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวกับ แบรนดอน...คาร์ลอส และผมเคยทำงานด้วยกันในหลายครั้ง เรารู้จักกันมานานหลายปี เราเป็นเหมือนพี่น้่อง ผมบอกเขาไปว่า "ที่ผ่านมาผมแทบไม่ได้ขออะไรจากคุณเลย แต่ครั้งนี้มันเป็นการขอที่พิเศษ และ มันจะมีความหมายมากสำหรับตัวผม หากคุณสามารถช่วยได้...ในฐานะเพื่อน"

คาร์ลอส ตอบกลับมาว่า เขาจะพยายาม...แต่เขาก็ไม่สามารถรับปากอะไรได้ ผมรู้ว่านี่เป็นหนทางเดียวที่จะสามารถช่วยครอบครัวของ แบรนดอน ได้....หากผมต้องการติดต่อ โรนัลโด้ โดยตรงเลย ผมคงต้องผ่านทั้ง เอเยนต์ ผู้จัดการ นักกฏหมาย และ อีกมากมาย กว่าจะได้เจอไม่รู้มันจะกินเวลาไปนานแค่ไหน

คาร์ลอส โทรกลับมาหาผมในวันเดียวกัน และบอกกับผมว่า "แผนการได้เริ่มแล้ว" ผมรู้อยู่แล้วว่า คาร์ลอส ต้องช่วยได้

ในเวลาเดียวกัน ผมรู้ว่า แบรนดอน เป็นแฟน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, เบนฟิก้า, และ ปอร์โต้ ผมก็เลยติดต่อและถามว่าพวกเขาจะช่วยโทรมาหา แบรนดอน เพื่อให้กำลังใจเขาให้ต่อสู้ต่อไป.....โฆเซ่ โมเรียล่า จาก เบนฟิก้า คาร์ลอส กีรอซ จาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ วิคตอร์ บาเยียร์ จาก ปอร์โต้ ต่างก็โทรมา ขอให้เขาหายดี และ ให้เขามีความกล้าหาญ ต่อสู้ต่อไป....พวกเขาต่างก็เป็นบุคคลพิเศษ....แต่พวกเขาไม่ใช่ โรนัลโด้...ซึ่งก็ยังไม่ได้โทรมา...

ในเวลานั้น ผมต้องกลับไปยังมหาวิทยาลัย ฮาร์ดฟอร์ด...ฮาร์ดฟอร์ด ฮอร์ึค มีเกมส์ในวันเสาร์เย็น และผมก็มาถึงที่นี่ก่อนเวลาในวันศุกร์


ในเย็นวันเสาร์ มันช่างเป็นเวลาที่ดีจริงๆ มหาวิทยาลัย ฮาร์ดฟอร์ด เอาชนะ มหาวิทยาลัย แฮมสเฟียร์ และ ผมก็ได้โทรศัพท์จาก จอร์น ว่า โรนัลโด้ โทรมาแล้ว....มันช่างเป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่มากสำหรับผม และ ผมก็รู้ว่ามันคงมีความหมายมากสำหรับ แบรนดอน อันที่จริงแล้ว เขาได้สัญญากับ แบรนดอน ด้วยว่าเขาจะโทรมาอีกพรุ่งนี้

วันถัดมาบ้านของ แบรนดอน มีเพื่อนอยู่เต็มไปหมด ต่างคนก็ต่างรอโทรศัพท์ให้ดัง....และ โรนัลโด้ ก็ไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง เขาโทรมาหา แบรนดอน....เขาและเพื่อนๆต่างมีความสุขกันถ้วนหน้า....สัปดาห์นั้น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต้องไปเยือน เชลซี ในเดือน กันยายน...โรนัลโด้ สัญญาว่าจะส่งเสื้อหลังเกมส์ และ รองเท้าให้กับ แบรนดอน....แบรนดอน ดีใจมาก เขาพูดออกมาว่า "ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้คุยกับไอดอลของผม คริสเตียโน่ โรนัลโด้...ผมเป็นเด็กที่มีความสุขที่สุดในโลก" หลายวันถัดมา โรนัลโด้ ส่งข้อความมาดูอาการของ แบรนดอน ว่าเขารู้สึกดีขึ้นไหม

แบรนดอน ในวัยเพียง 17 ปี จากโลกนี้ไปในวันที่ 3 ตุลาคม ปี 2008....โรนัลโด้ ส่ง รองเท้าพร้อมรายเซ็น และ เสื้อใส่ในกรอบรูป....แต่สิ่งที่ทำให้ครอบครัวของ แบรนดอน ประทับใจมากที่สุดคือข้อความที่เขาส่งมาแสดงความเสียใจ....เขียนว่า

"แชมป์ที่แท้จริงนั้นคือบุคคลที่สู้จนลมหายใจสุดท้าย...และนั่นคือภาพความทรงจำที่ผมมีต่อ แบรนดอน"

ผมกลับมา โตรอนโต เพื่อเข้าร่วมงานศพของ แบรนดอน สิ่งของทั้งหมดที่เกี่ยวกับ โรนัลโด้ ถูกห่อแล้ววางไว้รอบๆหีบศพ...มันเป็นภาพที่ผมไม่สามารถอธิบายความรู้สึกได้....

ในเดือนกุมภาพันธ์ ผมกลับมา โตรอนโต เพื่อมาเข้าร่วมการประชุมเกี่ยวกับผู้รักษาประตู....จอร์น ก็ได้ชวนผมมาหา...เขาได้พาผมมายังสุสานของ แบรนดอน......ผมทึ่งกับสิ่งที่ผมเห็น......ผมเห็น รองเท้า และ เสื้อ ของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้...พร้อมด้วยข้อความที่ โรนัลโด้ ส่งมาข้างใต้...

คาร์ลอส กีรอซ ได้ชวนผมมาร่วมเป็นสตาฟฟ์ในการเตรียมความพร้อมทีมชาติ โปรตุเกส ก่อนจะทำเกมส์ในศึุกรอบคัดเลือกกับ อัลเบเนีย ในวันที่ 6 มิถุนายน และ แมตช์กระชับมิตรกับ เอสโตเนีย ในวันที่ 10 มิถุนายน.....มันช่างเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อจริงๆ...แน่นอนว่าผมตอบรับคำเชื้อเชิญเพื่อเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในทีมชาติอย่างเป็นเกียรติ...ทีมๆนั้นก็รวมถึงผู้เล่น ฟิฟ่า เวิล์ด เพลย์เยอร์ ออฟ เดอะ เยียร์ ปี 2008 และ เจ้าของสถิติการย้ายทีมด้วยค่าตัวถึง 133 ล้านดอลลาร์จาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มาสู่ เรอัล มาดริด...คริสเตียโน่ โรนัลโด้...

เมื่อครอบครัวของ จอร์น รู้ว่าผมจะเข้าร่วมทีมชาติชุดนี้ พวกเขาได้ขอให้ผมเอาของไปให้ โรนัลโด้ เซ็นหน่อย แล้วก็ฝากเอาการ์ดเขียนแสดงความขอบคุณไปให้ด้วย

ผมบินไป โตรอนโต เพื่อที่จะไปเจอครอบครัวของ จอร์น และไปเอาของที่เขาอยากให้เซ็นมา จากนั้นจึงมุ่งหน้าไปยังสถานที่เก็บตัวของทีมชาติโปรตุเกส ที่เมืองลิสบอน....เมื่อผมถึงแล้่ว ตามคาด...ทุกๆคนก็พยายามจะคุย พยายามจะเข้าใกล้ โรนัลโด้ ตลอด...ผมจึงรอให้มันผ่านไปวันสองวันก่อน...ระหว่างมื้อเที่ยงของบ่ายวันหนึ่ง โรนัลโด้ กับ ผม นั่งอยู่โต๊ะใกล้กันระหว่างกินบุฟเฟ่ต์ ผมบอกเขาไปว่า ผมมีเรื่องพิเศษที่อยากจะเล่าให้เขาฟัง คุณพอมีเวลาว่างไม่กี่นาทีไหม....เขาตอบตกลง แล้วก็เจอผมในห้อง

มันเป็นการเจอกันที่เต็มไปด้วยอารมณ์และความรู้สึก ผมได้บอกทุกรายละเอียดเกี่ยวกับ แบรนดอน, เพื่อนๆของเขา และ ครอบครัวของเขา ให้ โีรนัลโด้ ฟัง

ผมอยากจะย้ำเกี่ยวกับเรื่องความรับผิดชอบในฐานะนักกีฬาดังอย่าง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ที่มีต่อเด็กที่น่าประทับใจอย่าง แบรนดอน....ระหว่างที่เราพูด...มันช่างเป็นเรื่องน่าทึ่งจริงๆ ที่ได้เห็นอีกด้านที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยน และ ความมีเมตตา ของผู้ชายคนนึงที่เป็นเหมือนนักรบเมื่ออยู่ในสนาม

สิ่งสุดท้ายที่ผมบอก โรนัลโด้ ไปคือเรื่องบันทึกประจำวันของ แบรนดอน...ในหน้าสุดท้ายของเขา มันถูกเขียนไว้ว่า...

"ผมได้คุยกับ โรนัลโด้....ตอนนี้ผมก็ขึ้นสวรรค์ได้แล้ว..."
blog comments powered by Disqus
ติดต่อ โฆษนา แนะนำ สอบถาม ฝากข่าวประชาสัมพันธ์ ได้ที่
 
Web Analytics