LFPTH : ลาลีก้า สเปน ลีกอันดับหนึ่งของวงการลูกหนัง

ตอนนี้ทางบล็อคได้ทำการ เปลี่ยนระบบ comment จากของ blogger เป็นระบบ disqus.... อ่านรายละอียดเพิ่มเติม (คลิ๊ก)

วันศุกร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2553

เส้นบางๆระหว่างการเมืองและการกีฬา...

El Clásico
El derbi español
El derbi
El clàssic

ไม่ว่าคุณจะเรียกแมตช์ฟุตบอลระดับสโมสรที่มีมนต์ขลังที่สุดในโลกนี้ว่าอย่างไร....ลืมการเจอกันของ อาร์เซน่อล สเปอร์, ลิเวอร์พูล แมนยู, เซลติก เรนเจอร์, อินเตอร์ เอซี, โรม่า ลาซิโอ หรือแม้แต่การเจอกันของ โบค่า กับ ริเวอร์เพลท ไปได้เลย...เพราะนี่คือแมตช์ที่สุดยอดที่สุดแล้ว...นี่คือการเจอกันของ เรอัล มาดริด และ บาร์เซโลน่า


เมือง มาดริด และ บาร์เซโลน่า เป็นสองเมืองที่ใหญ่ที่สุดในสเปน....ในขณะเดียวกัน เรอัล มาดริด และ บาร์เซโลน่า ก็เป็นสองสโมสรที่ประสบความสำเร็จ มากที่สุดในสเปน

คำว่า clásico หรือ classic ถูกนำมาใช้กับการเจอกันระหว่างสองทีมนี้ ไม่นานมีนี้จากทางฝั่ง อเมริกา ใต้ที่พวกเขาชื่นชอบฟุตบอลลาลีก้าสเปน จนตั้งชื่อให้ว่าเป็น "El Classico"...ถือจะใหม่...แต่ก็ตามที่ชื่อบอกแหละครับ...มัน "คลาสซิค" กว่าที่ผู้คนคิดเยอะ...

หลายๆคนคงมองว่าแมตช์นี้เป็นการเจอกันของ ซุปเปอร์สตาร์ และ ของสองทีมซึ่งมีปรัชญาการทำทีมที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง....ใช่ครับ ทั้งคู่ที่กล่าวมาถูก แต่ดูเหมือนว่าความเข้มข้นของความขัดแย้งทางด้านการเมืองในประเทศ และ วัฒนธรรม ของผู้คนต่างถิ่นจะเป็นประเด็นหลักที่หลายๆคนพูดถึงกันมากกว่า

บาร์เซโลน่า มองเห็น เรอัล มาดริด เป็นพวกเผน็จการ เป็นสโมสรที่ได้รับการสนับสนุนจากนายพล ฟรังโก ซึ่งครองสเปนภายหลังสงครามกลางเมืองช่วงระหว่าง 1939 ถึง 1975 พวกเขาถูกกดขี่ ข่มเหง สารพัด จึงเป็นที่ก่อเกิดแห่งความเกลียดชัง

ในขณะเดียวกัน เรอัล มาดริด ก็มอง บาร์เซโลน่า ว่าเป็นพวกคิดแบ่งแยก คิดว่าตัวเองเป็นประเทศของตนเอง เราจะเห็นในสนาม หรือ ในข่าวหนังสือพิมพ์ หรือแม้แต่การให้สัมพาทย์หลายๆครั้งของนักฟุตบอลว่าพวกเขามักจะบอกว่า กาตาลันไม่ใช่ประเทศสเปน กาตาลันก็เป็นกาตาลัน เพราะฉะนั้นไม่ต้องงงๆกันถ้าก่อนแข่งได้ยินเสียงแฟนๆมาดริดในเบอร์นาบิวตะโกนกันว่า "สเปน! สเปน!"


ความบาดหมางนี้เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ช่วงยุคสงครามกลางเมืองของสเปน ซึ่งนำโดย ฟรันซิสโก เปาลีโน เอร์เมเนคิลโด เตโอดูโล ฟรังโก อี บาอามอนเด ซัลกาโด ปาร์โด หรือ ที่รู้จักกันในนาม นายพล ฟลังโก้ หรือที่คนสมัยนั้นเขาเรียกกันว่า เอลโกว์ดีโย มีความหมายว่า "ท่านผู้นำ" เขาเป็นผู้นำของทาง "ฝ่ายชาตินิยม"

ทางฝ่ายชาตินิยม มีแผนการที่จะรวมสเปนเป็นหนึ่งเดียว โดยให้สูญรวมเป็นแคว้น กาสตีย่า ซึ่งมีเมืองหลวงคือกรุงมาดริด

เหตุการณ์แรกเลยที่เป็นจุดเริ่มต้นของความบาดหมางระหว่างสองทีมในอดีตคือเหตุการณ์ในปี 1936 ซึ่งสมัยนั้นประธานสโมสรของ บาร์ซ่า โฆเซป ซูโยล ถูกกลุ่ม ฟาสซิสต์ฟรังกิสต์ ซึ่งเป็นกองทัพของ นายพล ฟลังโก้ ลอบสังหาร ตั้งแต่นั้นมา บาร์เซโลน่า ซึ่งเป็นเมืองหลวงของแคว้น กาตาลัน จึงกลายเป็นผู้นำในการต่อต้านฝ่ายชาตินิยมไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ในช่วงสงครามกลางเมืองปี 1939 มาพร้อมกับระบบเผด็จการ เขาต้องการรวบรวมสเปนเป็นหนึ่งเดียว ชาวกาตาลันที่มีหัวรักถิ่นถูกกดขี่ข่มเหงเป็นอย่างมาก ชาวกาตาลันห้ามใช้ภาษาของพวกเขา ห้ามตั้งชื่อลูกเป็นภาษาของพวกเขา พวกเขาห้ามใช้ภาษาของพวกเขาเองในสถานที่สาธารณะ ห้ามทุกอย่างที่เป็นเอกลักษณ์ของพวกเขา มิเช่นนั้นจะถูกลงโทษ...และต้องมาใช้ภาษา "สเปน" แบบที่ชาวกาสตีลเขาใช้กัน (นอกจากภาษากาตาลันที่โดนแบนแล้ว ภาษาของแคว้น กาลิเซีย, บาเลนเซีย , บาสก์ ก็โดนแบนเช่นกัน)

แม้แต่ชื่อสโมสรยังต้องเปลี่ยนเลย อย่างเช่นสองสโมสรที่ใช้ชื่อเป็นภาษากาตาลันคือ เอสปันญ่อล เปลี่ยนจาก Catalan ‘Reial Club Deportiu Espanyol de Barcelona’ เป็น ‘Real Club Deportivo Espanol’ หรืออย่าง บาร์เซโลน่า เปลี่ยนจาก 'Futbal Club de Barcelona' เป็น 'Spanish Club de Futbal Barcelona'

แต่อย่างไรก็ตาม...มันมีสถานที่อยู่ที่หนึ่งที่คน กาตาลัน สามารถพูดจาภาษาของเขาเองได้...ที่นั่นไม่ใช่ที่ไหน...คัปนู ที่ๆพวกเขามาเชียร์ทีมรัก บาร์เซโลน่า นั่นเอง...นั่นจึงเป็นที่มาของคำกล่าวที่ตอนนี้กลายเป็นสโลแกนของสโมสรไปแล้วนั่นก็คือ "Mes que un club" หรือ "มากกว่าสโมสรฟุตบอล" นั่นเอง

แต่ถึงสโมสรและเมือง บาร์เซโลน่า จะโดนข่มเหงโดย นายพล ฟรังโก้ ความสัมพันธ์ของนายพล ฟรังโก้ กับ เรอัล มาดริด ก็ยังไม่ชัดเจนเท่าไร (จริงๆก็มีข้อมูลหลายๆอย่างออกมา แล้วแต่คนจะเชื่อ) ตัวนายพล ฟรังโก้ เองเป็นแฟนของ แอตเลติโก มาดริด ในขณะเดียวกัน เขาก็ต้องช่วยๆดูแลสโมสร เรอัล มาดริด ด้วยเพราะ เรอัล มาดริด เป็นสโมสรสัญลักษณ์ของพวกเชื้อกษัตริย์ เพื่อที่เขาจะได้ครอบครองอำนาจแบบทั้งหมด โดยไม่ต้องห่วงหน้าห่วงหลัง (Real มาจาก Royal ซึ่งแปลว่า ราชวงศ์)

ในฟุตบอลภายในประเทศ หลายๆคนเชื่อว่า เรอัล มาดริด ได้รับการช่วยเหลือจากผู้ตัดสิน อยู่ตลอด โดยมีนัดนึงที่ แฟนๆ บาร์เซโลน่า ขับข้องใจเป็นพิเศษ นั่นคือการแพ้ เรอัล มาดริด ถึง 11-1...ค่อนข้างชัดเจนว่า มันมีอะไรผิดไปจากปกติรึเปล่า เพราะว่าทั้งๆที่ บาร์เซโลน่า นำอยู่ 1-0 ในช่วงครึ่งแรก พอนักเตะเข้าไปในห้องพัก กลับมา มาดริดยิงคืน 11 ลูก.... ทีมบ้าอะไรต่อให้เก่งแค่ไหนโดนยิง 11 ลูก? ไม่ปกติแน่ๆ หลายๆคนเชื่อว่า ฟรังโก ได้ส่งคนไปขู่ในห้องพัก บาร์เซโลน่า...

นอกจากนี้ยังมีหลากหลาย เหตุการณ์ และ เรื่องราว ที่เป็นที่พูดถึง เกี่ยวกับการที่ ฟรังโก้ ได้ไปช่วย เรอัล มาดริด อย่างโน้นอย่างนี้....บางอย่างก็ดูน่าเชื่อถือ แต่บางอย่างก็แล้วแต่ดุลพินิจ

แต่มันมีเรื่องนึงที่มันชัดเจนมากว่า เรอัล มาดริด ได้ผลประโยชน์มาจากการแทรกแซงของอำนาจรัฐนั่นก็คือการย้ายทีมครั้งประวัติศาสตร์ของ อัลเฟรโด้ ดิ สเตฟาโน่


โดยเป็นทาง บาร์เซโลน่า ที่ได้รายเซ็นของ ดิสเตฟานโน่ นักเตะชาว อาเจนไตน์ จากสโมสร มิลิโอนาริออส ในโคลัมเบีย มาก่อน และ ฟิฟ่า ก็ได้รับรู้และอนุมัติการย้ายทีมครั้งนี้แล้ว แต่ด้วยอำนาจของ ฟรังโก้...ในสเปนเวลานั้น ไม่ว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้...

ในช่วงนั้นสเปนกำลังแย่ พึ่งผ่านสงครามมา ผู้คนจน ไม่มีอะไรจะกิน ถ้าหากสโมสร บาร์เซโลน่า ได้เซ็นสัญญากับนักเตะที่เก่งที่สุดในโลกที่ไม่มีใครเทียบได้ อาจจะเป็นตัวกระตุ้นทำให้มีผู้คนออกมา เรียกร้องประชาธิปไตย เพื่อที่จะรักษาอำนาจของตนเองให้มั่นคงแน่นอน ฟรังโก้ จึงทำทุกวิถีทางเพื่อให้ ดิ สเตฟาโน่ ผู้เล่นที่มีพรสวรรค์ที่ไม่มีใครเทียบมาเล่นให้ มาดริด ให้ได้ โดยสุดท้าย บาร์เซโลน่า ก็ได้สละสิทธิ์ไป...

และสุดท้ายก็อย่างที่ทุกๆคนรู้....ดิ สเตฟาโน่ กลายเป็นตำนานของสโมสร เรอัล มาดริด คว้าแชมป์ยุโรป 5 สมัยแรกที่มีการแข่งขันติดต่อกัน ทีม เรอัล มาดริด ยุคนั้นจัดได้ว่าเป็นหนึ่งในทีมที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลเลยก็ว่าได้ โดยร่วมมือกับนักเตะระดับตำนานมากมายไม่ว่าจะเป็น เกนโต้, ปุสกัส, โกปา, ซานตามาเรีย, และอื่นๆอีกมากมาย (ผลการแข่งขันในประเทศอาจจะถูกบิดเบือนก็จริง แต่ในยุโรป อำนาจของ ฟรังโก คงทำไม่ได้เหมือนในประเทศ...ถือว่าเป็นนักเตะชุดที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ มาดริด เลยทีเดียว)


หลังจากการตายของนายพล ฟรังโก ฟุตบอลสเปนก็ยิ่งเข้มข้นขึ้นกว่าเก่า เพราะความเก็บกดจากการโดนกดดันในช่วงของนายพลฟรังโก้นั่นแหละ สโมสรต่างๆก็กลับมามีอิสระ มีวัฒนธรรมของตนเองอีกครั้ง คราวนี้ยิ่งเข้มข้นกว่าเก่าอีก นักเตะและแฟนบอลก็ฉลองกันกับการจากไปของการกดขี่ที่มีมายาวนาน....แฟนๆถือธงโบกสบัดกันไปมาในสนามต่างๆ หลังจากธงเหล่านั้นโดนแบนมานานถึง 40 ปี

ถึงแม้ว่าเวลานี้เรื่องราวของนายพลคนนี้จะกลายเป็นอดีตแล้ว แต่มันก็ยังทิ้งแผลเป็นที่ยังคงอยู่ในจิตใจของแฟนบอลสเปนหลายๆคนอยู่ และ ปัจจุบัน หากท่านใดได้ติดตามข่าวสารบ้างก็จะเห็นอยู่ตลอดๆว่าจะมีข่าวแบ่งแยกดินแดนของพวกหัวรุนแรงทั้งหลาย หรือจะเป็นข่าวพวกประท้วงต่างๆที่เกิดขึ้น ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่มีให้เห็นอยู่ตลอดๆ

อย่างปีที่แล้ว ซึ่งรัฐของ กาตาลุนย่า ได้มีปัญหากับส่วนกลางที่ มาดริด ในเรื่องการแจกจ่ายทรัพยากรของประเทศ (หลักๆก็คือเรื่องรถไฟฟ้า, ถนน, และ พวกตึกต่างๆ ที่ รัฐบาล ดูเหมือนจะเน้นลงทุนที่ มาดริด เป็นหลัก) หลายๆคนคงจำได้กับบทสัมพาษณ์ของ เป็ป กวาดิโอล่า และ โจน ลาปอร์ต้า ได้...เป็ป บอกไว้ว่า "กาตาลุนย่า เป็นประเทศที่ปกครองตัวเอง และ มีภาษาเป็นของตัวเอง" ในขณะที่ ลาปอร์ต้า บอกว่า "ถ้าไม่มีแคว้นเป็นของตนเอง...กาตาลุนย่าคงตายไปแล้ว"

นอกจากนั้น พวกเขายังมีความคิดที่จะมีทีมชาติเป็นของตนเอง LFPTH ก็เคยรายงานผลของทีม กาตาลุนย่า ของ โยฮัน ครัฟฟ์ ซึ่งเป็นอดีตตำนานในฐานะผู้เล่น ที่เคยปฏิเศษ เรอัล มาดริด ด้วยเหตุผลว่า เขาไม่สามารถค้าแข้งกับทีมที่มีประวัติเกี่ยวข้องกับ ฟรังโก้ และ ในฐานะโค้ชช่วง ดรีมทีม ต้นแบบความคิด "total football" ที่บาร์เซโลน่า ยึดใช้จนถึงปัจจุบัน ให้ฟังบ้าง อย่างล่าสุดก็อุ่นเครื่องกับ อาเจนติน่า ของ ดิเอโก มาราโดน่า ไป...


¡Hala Madrid!
¡Visca Barca!
¡Amunt Valencia!
¡Aupa Athletic!
¡Forza Depor!

ไม่ว่าคุณจะตะโกนเชียร์ทีมรักของคุณแบบไหน ด้วยวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน นี่เป็นอีกหนึ่งสเน่ห์ที่ทำให้แฟนบอลติดใจในความเข้มข้นของฟุตบอลสเปน ที่ไม่สามารถหาได้จากที่ไหน และไม่มีที่ไหนสามารถเลียนแบบได้
blog comments powered by Disqus
ติดต่อ โฆษนา แนะนำ สอบถาม ฝากข่าวประชาสัมพันธ์ ได้ที่
 
Web Analytics